‘ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ’ ประวัติศาสตร์มีชีวิต คนต้นคิดตำราอิสลามมลายูปาต านี
‘ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ’ ผู้บุกเบิกเขียนตำราประวัติ ศาสตร์อิสลามด้วยภาษามลายู ชีวิตที่อยู่กับการเรียงร้อ ยถ้อยความเขียนหนังสือ ยกแง่คิดชีวิตบทเรียนจากประ วัติศาสตร์ ตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้ งของท่านนะบีมูฮัมหมัด ผู้ที่หวังการอยู่ร่วมกันอย ่างสันติ เพราะความสงบสุขคือโอกาสแสด งมารยาท ความคิดและเผยแพร่อิสลาม แต่การเผชิญหน้าด้วยความร...ุนแรง รังแต่จะสร้างศัตรูเป็นระลอ กคลื่นไม่มีจุดจบ
คนที่ผ่านการเรียนในโรงเรีย นเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังห วัดชายแดนภาคใต้ คงจะคุ้นเคยกับตำราทางด้านป ระวัติศาสตร์อิสลามที่เขียน ด้วยภาษามลายูอักษรยาวีหลาย เล่ม แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่า ผู้เขียนตำราเหล่านั้นคือใค ร
หรือหากเอ่ยชื่อ “ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ” ก็คงไม่รู้จักอยู่ดี ทั้งที่น่าจะนับได้ว่าเป็นบ ุคคลสำคัญคนหนึ่งในวงการศึก ษาประวัติอิสลามในพื้นที่ เพราะตำราหลายเล่ม เขาเป็นคนแรกที่เขียนและเรี ยบเรียงขึ้นมาด้วยภาษามลายู อักษรยาวีที่ใช้สอนอยู่ในโร งเรียนหลายแห่งในปัจจุบัน
แต่หากเอ่ยชื่อหนังสือหรือต ำราเรียนประวัติศาสตร์อิสลา มที่เกี่ยวกับการปกครองของอ ิสลาม บางคนก็อาจจะร้องอ๋อขึ้นมาก ็ได้
“ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ” คือนามปากกาของ “นายฮาซัน นิมูฮัมหมัด” โต๊ะอิหม่ามมัสยิดตะลุบัน วัย 70 ปี ที่ใครๆก็ชอบเรียกว่า อุสตาซฮัสซัน นับได้ว่าเป็นนักวิชาการด้า นประวัติศาสตร์อิสลามผู้ช่ำ ชองคนหนึ่งของปัตตานี ที่ใช้เวลาร้อยเรียงเรื่องร าวประวัติศาสตร์อิสลามผ่านภ าษามลายูมากว่าครึ่งค่อนชีว ิต หรือกว่า 35 ปีมาแล้ว
พบหน้าต่างบานแรกที่ชวนหลงเ สน่ห์แห่งประวัติศาสตร์
อุสตาซฮัสซัน นิมูฮัมหมัดเล่าว่า มีญาติรุ่นราวคราวเดียวกันค นหนึ่งชอบอ่านหนังสือนิยาย จึงได้นั่งอ่านหนังสือนิยาย ไปกับเขาด้วย เลยทำให้ชอบการอ่านหนังสือไ ปด้วย
“มีวันหนึ่งเดินเข้าร้านหนั งสือ พบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ‘9 บุคคลสำคัญของโลก’ จึงซื้อมาอ่าน เท่าที่จำได้เป็นหนังสือที่ เขียนประวัติของอับราฮัม ลินคอร์น, มุสโสลินี, ฮิตเลอร์, มาดามกูรี, เจมส์ วัตต์ ซึ่งชอบมาก รู้สึกทึ่งกับความวิริยะอุต สาหะของมนุษย์ในการเดินไต่จ ากจุดเล็กๆ จนกลายเป็นตำนานของโลก นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผม ชอบประวัติศาสตร์” อุสตาซฮัสซัน กล่าว
หลังจากเรียนจบ ป.7 อุสตาซฮัสซัน ก็มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อ สาขาอัดดะอฺวะฮฺวัลอูซูลลุด ดีน (การเผยแผ่ศาสนาและหลักการศ าสนา) ที่มหาวิทยาลัยอัลอิสลามมิย ะห์ กรุงมะดีนะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นี่เอง ที่อุสตาซฮัสซันได้พบกับหนั งสือประวัติของท่านนบีมุฮัม หมัด (ศาสดาแห่งอิสลาม) และหนังสืออื่นๆ อีกมากมายที่บอกเล่าประวัติ ศาสตร์อิสลาม กระทั่งจบการศึกษาเมื่อปี 2522 จึงเดินทางกลับประเทศไทยพร้ อมกับหอบหนังสือเกี่ยวกับปร ะวัติศาสตร์อิสลามจำนวนหนึ่ งเท่าที่สามารถซื้อเก็บไว้ไ ด้
บุกเบิกเขียนตำราประวัติศาส ตร์อิสลามภาษามลายู
หลังกลับจากต่างประเทศ อุสตาซฮัสซัน ได้เป็นครูสอนวิชาประวัติศา สตร์อิสลามที่โรงเรียนสายบุ รีอิสลามวิทยา ทีอ.สายบุรี จ.ปัตตานี เรื่องแรกที่ต้องสอน คือ การปกครองของราชวงศ์อับบาซิ ยะห์ แต่กลับไม่มีตำราใช้สอนนักเ รียน อุสตาซฮัสซันจึงใช้วิธีเขีย นเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นมา ใช้ในการสอน กระทั่งสามารถรวมเล่มเป็นเล ่มหนังสือในที่สุด
“ผมตัดสินใจเขียนเพราะตอนนั ้นแถวบ้านเราไม่มีหนังสือเร ียนประวัติศาสตร์อิสลามที่เ ขียนด้วยภาษามลายูเลย ก่อนหน้านั้นคงมีแต่หนังสือ ภาษาอาหรับที่ใช้สอนนักเรีย น”
“ช่วงแรกๆ ผมเขียนชี้แจงแต่ละประเด็นอ ย่างสั้นๆ แล้วค่อยๆเพิ่มเติมข้อมูลรา ยละเอียดมากขึ้น ภาษาที่ใช้เขียนก็ให้เพียงเ พื่อสื่อสารได้เท่านั้น ไม่เน้นความสละสลวย จากนั้นค่อยๆพัฒนาให้สมบูรณ ์ขึ้น แล้วจึงเริ่มตีพิมพ์เป็นตำร า”
หนังสือเรียนวิชาประวัติศาส ตร์อิสลามของอุสตาซฮาซัน ไม่ได้เขียนตามลำดับเหตุการ ณ์ทางประวัติศาสตร์แต่เขียน ตามจำเป็นที่ต้องใช้สอนในห้ องเรียน
ผลงานเด่น 6 เล่ม ตั้งแต่ยุคเริ่มอิสลามจนถึง ยุคฟื้นฟู
สำหรับตำราเล่มแรกที่เขียนข ั้น คือ การปกครองของราชวงศ์อับบาซิ ยะห์ ตามด้วยการปกครองของราชวงศ์ อุมัยยะห์ที่อันดาลุส(สเปน) , การปกครองของราชวงศ์อุสมานิ ยะห์ที่ตุรกี, การปกครองของคุลาฟาอฺอัรรอช ิดีน(ศอฮาบะห์ 4 ท่าน), การปกครองของราชวงศ์อุมัยยะ ห์ที่ชาม(ซีเรีย) และขบวนการฟื้นฟูอิสลาม
“ตำราเรียนประวัติศาสตร์ทั้ ง 6 เล่มดังกล่าวใช้เวลาในการเข ียนเรียบเรียงนาน 5 ปี”
อุสตาซฮัสซัน เปิดเผยว่า ตำราเรียนประวัติศาสตร์อิสล ามข้างต้นได้เขียนขึ้นตามหล ักสูตรจัดการเรียนรู้ของโรง เรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จึงทำให้มีโรงเรียนส่วนหนึ่ งติดต่อซื้อตำราเรียนดังกล่ าวไปใช้สอนด้วย
“ตำราที่ผมเขียนและเรียบเรี ยงขึ้นนั้น ตีพิมพ์ไป 1,000 เล่ม ใช้เวลาขายประมาณ 3 ปี”
จากการสอบถามข้อมูลจากร้านข ายหนังสือและตำราเรียนที่ใช ้ในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามก ็ได้ข้อมูลว่า ในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ก ารปกครองของอิสลามสมัยต่างๆ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่จะใช้หนังส ือของมุซตอฟา อับดุลเราะห์มาน ชาวมาเลเซียมาเป็นตำราสอนนั กเรียน
แต่ต่อมาเมื่อมีหนังสือของอ ุสตาซฮัสซันออกมาวางขาย โรงเรียนหลายแห่งก็หันมาใช้ ตำราของอุสตาซฮัสซันสอนเด็ก
เน้นเขียนด้วยอักษรยาวีรูปแ บบดั้งเดิม
อุสตาซฮัสซัน บอกว่า หนังสือของเขาจะเขียนด้วยภา ษามลายูอักษรยาวีรูปแบบดั้ง เดิม เช่น คำว่า “มะฮฺกูตอ” ก็จะใช้ตัวอักษร “มีม” “ฮาอฺ” “กาฟ” “วาว” “ตาอฺ” ตามรูปแบบการเขียนดั้งเดิม (อย่างที่เขียนในกีตาบยาวี)
“ในขณะที่รูปแบบการเขียนสมั ยใหม่จะเติมตัวอักษร “อลิฟ” หลังตัวอักษร “ตาอฺ” ทำให้ต้องอ่านว่า “มะฮฺกูตา” ซึ่งการเติมตัวอักษร “อลิฟ” ข้างหลังนั้น เป็นอิทธิพลที่ได้รับจากภาษ าอังกฤษนั่นเอง”
“ผมก็แค่อยากเก็บรูปแบบการเ ขียนที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเด ิมของภาษามลายูเอาไว้ เพราะช่วงหลังๆ มีการใช้ตัวอักษรรูมี(โรมัน )อย่างกว้างขวาง ทำให้อิทธิพลของตัวอักษรรูม ีไหลเข้ามากระทบกับรูปแบบกา รเขียนด้วยอักษรยาวีไปด้วย” อุสตาซฮัสซัน กล่าว
ผลงานหนังสือประวัติศาสตร์อ ิสลามเล่มอื่นๆ
นอกเหนือจากตำราเรียนประวัต ิศาสตร์ทั้ง 6 เล่มดังกล่าวแล้ว อุสตาซฮัสซันก็ยังเขียนเรีย บเรียงหนังสือประวัติศาสตร์ เล่มอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่ หนังสือประวัติบุคคลสำคัญขอ งมุฮัมหมัด อิบนุกอซิม อัซซะกอฟีย์ (ราชวงศ์อุมัยยะห์), ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์(ราชวงศ์อับบาซ ิยะห์) และมุฮัมหมัด อัลฟาติฮ(ราชวงศ์อุสมานียะห ์)
รวมทั้งหนังสือประวัติศาสตร ์การปกครองของกลุ่มชนต่างๆ ในอันดาลุส(ประเทศสเปน) คือ กลุ่มอุมัยยะห์ กลุ่มนัซรฺ ที่ฆุรนาฏอฮฺและการปกครองใน พื้นที่เล็กๆ ของกลุ่มอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีหนังสือประวั ติของอัลอัมบิยาอ ซึ่งเป็นเรื่องราวของบรรดาร สูลลุลลอฮ(ศาสนทูต) ตั้งแต่นบี(นะบี)อาดัมจนถึง นบีอีซา (เยซู) และหนังสือประวัติของท่านนบ ีมุฮัมหมัด ซึ่งมี 3 เล่ม ได้แก่ นูรุลยากีน (เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์) อัรรอซูล (ความคิด) และฟิกฮุซีรอฮฺ (ศาสนบัญญัติ)
ทุกวันนี้ แม้ว่าตลอดชีวิตการเป็นครูว ิชาประวัติศาสตร์อิสลาม อุสตาซฮัสซันได้เป็นครูสอนม าแล้ว 4 แห่ง คือ โรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา โรงเรียนสามารถดีวิทยา โรงเรียนบำรุงอิสลาม และโรงเรียนมุสลิมพัฒนศาสน์ และหยุดพักการสอนหนังสือแล้ วเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ แต่ก็ไม่หยุดที่จะเขียน เขายังทยอยเขียนเรียบเรียงป ระวัติศาสตร์อิสลามแง่มุมอื ่นๆ และขยายวงให้กว้างขึ้นเรื่อ ยๆ
บทเรียนจากประวัติศาสตร์-แง ่คิดในการดำเนินชีวิต
อุสตาซฮัสซัน อธิบายประวัติศาสตร์อิสลามค ร่าวๆ ว่า ในยุคของท่านนบีมุฮัมหมัด เราสามารถเรียนรู้วิถีชีวิต อิสลามที่สมบูรณ์ว่าเป็นอย่ างไร ทั้งแง่หลักศรัทธา กฎหมาย เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง แต่หลักการการปกครองบางประก ารที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ในสมั ยท่านนบี ก็ได้รับการสานต่ออย่างสมบู รณ์ในยุคสมัยของบรรดาคอลีฟา อฺ ซึ่งนักค้นคว้าหลายท่านกล่า วกันว่า ยุคของคุลาฟาอฺเป็นยุคที่สั งคมอิสลามสงบสันติที่สุดแล้ ว
สมัยการปกครองของราชวงศ์อุม ัยยะห์ ศาสนาอิสลามได้เผยแผ่ไปไกลถ ึงชมพูทวีป เมืองจีน และยุโรปบางส่วน (สเปนและฝรั่งเศส) และเป็นสมัยที่ความรู้วิชาก ารได้เริ่มเบ่งบาน เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางการแพทย์ การคิดและการทดลองเกี่ยวกับ การบิน โดย อบุลกอซิม อับบาส บิน เปอรนาส ก็เกิดขึ้นในสมัยนี้
สมัยการปกครองของราชวงศ์อับ บาซิยะห์ ศาสนาอิสลามได้แผ่กว้างเข้า ไปในยุโรปมากขึ้น เช่น เซอร์เบีย ออสเตรีย ฮังการี ในสมัยนี้เองที่มีสงครามครู เสดเกิดขึ้น หลังจากสงครามอันยืดเยื้อยา วนานได้มีการเจรจาสันติ ให้ชาวยุโรปสามารถมาเรียนรู ้ในประเทศอิสลามได้
ในช่วงนั้นเองมีนักคิดชาวยุ โรปเดินทางมาเรียนภาษาอาหรั บ เพื่อแปลหนังสือเกี่ยวกับวิ ชาการด้านต่างๆ นำข้อมูลกลับไปยังประเทศของ ตน เกิดการเคลื่อนไหลของความรู ้ครั้งใหญ่ กล่าวกันว่า เพียงแค่ข้อมูลที่นำกลับไปเ ก็บนั้นสามารถเปิดเป็นมหาวิ ทยาลัยได้
ในตอนท้ายๆของการปกครองของร าชวงศ์อุสมานิยะห์ เป็นยุคที่อิสลามเริ่มเดินถ อยหลัง เริ่มมีการแยกศาสนากับความร ู้ออกจากกัน ทำให้ไม่ได้ใช้พลังอิสลามใน การขับเคลื่อนความรู้วิทยาก ารต่างๆ รวมทั้งวิถีดำเนินชีวิต กระทั่งการปกครองอิสลามล่มส ลายไปในที่สุด ประมาณช่วงหลังสงครามโลกครั ้งที่ 1
ความล่มสลายของอิสลามนี่เอง ที่ทำให้เกิดขบวนการฟื้นฟูอ ิสลามกลุ่มต่างๆ ขึ้น ซึ่งอุสตาซฮัสซันได้เขียนไว ้ในตำราเรียนหลายเล่ม ได้แก่ ขบวนการฟื้นฟูอิสลามของกลุ่ มมูฮำหมัด อับดุลวะฮฺฮาบ ในประเทศซาอุดีอาระเบีย, กลุ่มนูรซีย์ ในประเทศตุรกี, กลุ่มหะซัน อัลบันนา ในประเทศอียิปต์, กลุ่มอะบุลอะลา อัลเมาดูดีย์ ในประเทศปากีสถาน และกลุ่มตับลีฆ ในประเทศอินเดีย
แยก‘ศาสนากับสามัญ’ คือความล้มเหลวของการศึกษาอ ิสลาม
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนสอนศาสนาอิ สลามในสังคมของเรามีการแยกว ิชาศาสนากับวิชาสามัญออกจาก กัน เป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแ รง เพราะในความเป็นจริงอัลกุรอ านและการปฏิบัติของท่านนบีม ุฮัมหมัดเป็นจุดศูนย์กลางขอ งการแตกแขนงวิทยาการด้านต่า งๆ ออกไปอย่างหลากหลาย ดังนั้น ศาสนากับความรู้จึงย่อมเป็น สิ่งเดียวกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและก ัน เมื่อแยกขาดจากกันก็จะทำให้ พลังที่จะเชื่อมโยงถึงกันอย ่างแข็งแกร่งนั้น ก็จะเสื่อมสลายไปด้วย
“สมัยก่อนคนที่เป็นนักวิทยา ศาสตร์ แพทย์หรือแม่ทัพก็เป็นนักท่ องจำอัลกุรอานด้วย แต่ภาพที่เห็นในปัจจุบันคือ คนที่เรียนศาสนาก็จะมีความร ู้ความเชี่ยวชาญแต่เรื่องศา สนา ส่วนคนที่เรียนสายสามัญก็จะ เชี่ยวชาญเฉพาะแต่สาขาที่ตั วเองเรียน ไม่ค่อยเชื่อมโยงกลับไปยังศ าสนา เหมือนมีกำแพงกั้นระหว่างวิ ชาศาสนากับวิชาสามัญ”
ยก ‘สัญญาฮุดัยบียะห์’ ตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้ ง
ช่วงหนึ่งในสมัยของท่านนบีม ุฮัมหมัด มีการทำสัญญาฮุดัยบียะห์ระห ว่างคนมุสลิมในเมืองมะดีนะห ์กับชนเผ่ากุร็อยชฺในเมืองม ักกะฮฺ เนื่องจากขณะที่ท่านนบีพร้อ มคณะกำลังเดินทางไปทำพิธีอุ มเราะห์ที่เมืองมักกะฮฺ ก็ถูกกลุ่มชนเผ่ากุร็อยชฺเข ้ามาขัดขวาง แม้กลุ่มคนมุสลิมจะมีกำลังต ่อสู้ได้แต่ก็ไม่อยากต่อสู้ กัน
ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดนองเลือดระหว ่างกัน ท่านนบีมุฮัมหมัดจึงยอมรับเ งื่อนไข 3 ข้อของชาวกุร็อยชฺ คือ ข้อแรก ในปีนั้นห้ามชาวมุสลิมเข้าเ มืองมักกะฮฺ ข้อที่สอง ให้เข้าเมืองมักกะฮฺได้ในปี ถัดไปแต่ไม่เกินสามวันและห้ ามพกพาอาวุธ ข้อสุดท้าย หากชาวมักกะฮฺหนีเข้าเมืองม ะดีนะห์ เมืองมะดีนะห์ต้องส่งคนๆ นั้นกลับคืนมักกะฮฺ แต่หากมีชาวมะดีนะห์เข้าไปเ มืองมักกะฮฺ ทางเมืองมักกะฮฺก็จะไม่ส่งค ืนกลับไป
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า ข้อสัญญาดังกล่าว กลุ่มคนมุสลิมเสียเปรียบกลุ ่มชาวกุร็อยชฺ แต่ท่านนบีมุฮัมหมัดก็ยอมรั บข้อเสนอข้างต้นไว้ เพราะหวังถึงการดำรงอยู่ร่ว มกันอย่างสันติ เพราะการเผชิญหน้ากันด้วยคว ามรุนแรงนั้น จะสร้างศัตรูเป็นระลอกคลื่น ไม่มีจุดจบ แต่การยอมกันบ้างในจุดที่ยอ มได้ ก็จะทำให้ยังคงพูดคุยกันและ มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้ กลุ่มคนมุสลิมก็จะมีโอกาสใน การแสดงออกถึงมารยาทและความ คิดอิสลาม ได้มีโอกาสในการเผยแพร่ศาสน าอิสลาม อันนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีต ่อกันในที่สุด
เข้าใจประวัติศาสตร์อิสลาม- เข้าใจชีวิตที่สันติ
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า การเรียนรู้และทำความเข้าใจ ประวัติศาสตร์อิสลาม จะส่งผลให้สามารถดำเนินชีวิ ตด้วยความมั่นใจและมีกำลังใ จที่ดี เพราะการเรียนรู้ประวัติศาส ตร์อิสลามเหมือนกับเรียนรู้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์จาก ตัวอย่างที่ปรากฏในประวัติศ าสตร์
“เส้นทางประวัติศาสตร์อันยา วนานนั้น ทำให้มองเห็นได้ว่า เมื่อมุสลิมใช้อิสลามเป็นแน วทางดำรงชีวิตก็จะประสบกับค วามสงบสันติและรุ่งเรือง แต่เมื่อหลุดจากแนวทางอิสลา มก็จะกับพบกับความอลหม่านวุ ่นวาย ประวัติศาสตร์ทำให้มนุษย์เข ้าใจความล้มเหลวและเข้าใจคว ามยิ่งใหญ่”
แต่ขณะเดียวกัน ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ ่แห่งประวัติศาสตร์อิสลามอย ่างแท้จริงนั้น จะเดินควบคู่กับความนอบน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยโสและอคติต่อผู้อื ่น เพราะมุสลิมที่เข้าใจอิสลาม จะตระหนักได้ว่าความยิ่งใหญ ่เหล่านั้นมาจากอัลลอฮฺ
“ความนอบน้อมของมนุษย์ต่ออั ลลอฮฺจะส่งผลให้เขาเป็นคนอ่ อนน้อม ใจกว้างเคารพและให้เกียรติเ พื่อนมนุษย์ และดำรงชีวิตอยู่ในขอบข่ายข องความสงบสันตินั่นเอง”
บทความโดย; อาจารย์ ซอฟียะห์ ยียูโซ๊ะ ดูเพิ่มเติม
‘ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ’ ผู้บุกเบิกเขียนตำราประวัติ
คนที่ผ่านการเรียนในโรงเรีย
หรือหากเอ่ยชื่อ “ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ” ก็คงไม่รู้จักอยู่ดี ทั้งที่น่าจะนับได้ว่าเป็นบ
แต่หากเอ่ยชื่อหนังสือหรือต
“ฮัสซัน นิอ์มะตุลลอฮฺ” คือนามปากกาของ “นายฮาซัน นิมูฮัมหมัด” โต๊ะอิหม่ามมัสยิดตะลุบัน วัย 70 ปี ที่ใครๆก็ชอบเรียกว่า อุสตาซฮัสซัน นับได้ว่าเป็นนักวิชาการด้า
พบหน้าต่างบานแรกที่ชวนหลงเ
อุสตาซฮัสซัน นิมูฮัมหมัดเล่าว่า มีญาติรุ่นราวคราวเดียวกันค
“มีวันหนึ่งเดินเข้าร้านหนั
หลังจากเรียนจบ ป.7 อุสตาซฮัสซัน ก็มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อ
ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นี่เอง
บุกเบิกเขียนตำราประวัติศาส
หลังกลับจากต่างประเทศ อุสตาซฮัสซัน ได้เป็นครูสอนวิชาประวัติศา
“ผมตัดสินใจเขียนเพราะตอนนั
“ช่วงแรกๆ ผมเขียนชี้แจงแต่ละประเด็นอ
หนังสือเรียนวิชาประวัติศาส
ผลงานเด่น 6 เล่ม ตั้งแต่ยุคเริ่มอิสลามจนถึง
สำหรับตำราเล่มแรกที่เขียนข
“ตำราเรียนประวัติศาสตร์ทั้
อุสตาซฮัสซัน เปิดเผยว่า ตำราเรียนประวัติศาสตร์อิสล
“ตำราที่ผมเขียนและเรียบเรี
จากการสอบถามข้อมูลจากร้านข
แต่ต่อมาเมื่อมีหนังสือของอ
เน้นเขียนด้วยอักษรยาวีรูปแ
อุสตาซฮัสซัน บอกว่า หนังสือของเขาจะเขียนด้วยภา
“ในขณะที่รูปแบบการเขียนสมั
“ผมก็แค่อยากเก็บรูปแบบการเ
ผลงานหนังสือประวัติศาสตร์อ
นอกเหนือจากตำราเรียนประวัต
รวมทั้งหนังสือประวัติศาสตร
นอกจากนี้ยังมีหนังสือประวั
ทุกวันนี้ แม้ว่าตลอดชีวิตการเป็นครูว
บทเรียนจากประวัติศาสตร์-แง
อุสตาซฮัสซัน อธิบายประวัติศาสตร์อิสลามค
สมัยการปกครองของราชวงศ์อุม
สมัยการปกครองของราชวงศ์อับ
ในช่วงนั้นเองมีนักคิดชาวยุ
ในตอนท้ายๆของการปกครองของร
ความล่มสลายของอิสลามนี่เอง
แยก‘ศาสนากับสามัญ’ คือความล้มเหลวของการศึกษาอ
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนสอนศาสนาอิ
“สมัยก่อนคนที่เป็นนักวิทยา
ยก ‘สัญญาฮุดัยบียะห์’ ตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้
ช่วงหนึ่งในสมัยของท่านนบีม
ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดนองเลือดระหว
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า ข้อสัญญาดังกล่าว กลุ่มคนมุสลิมเสียเปรียบกลุ
เข้าใจประวัติศาสตร์อิสลาม-
อุสตาซฮัสซัน กล่าวว่า การเรียนรู้และทำความเข้าใจ
“เส้นทางประวัติศาสตร์อันยา
แต่ขณะเดียวกัน ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ
“ความนอบน้อมของมนุษย์ต่ออั
บทความโดย; อาจารย์ ซอฟียะห์ ยียูโซ๊ะ ดูเพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น