วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อมีร โดคู อูมารอฟ อดีดผู้นำแห่งมูญาฮิดีน เชเชน(เชชเนีย)ผู้ล่วงลับ



อมีร โดคู อูมารอฟ อดีดผู้นำแห่งมูญาฮิดีน เชเชน(เชชเนีย)ผู้ล่วงลับ

โดคู อูมารอฟ เกิด เมื่อ 13 เมษายน 1964 ในหมู่บ้าน เครสเซนนอฟ ในพื้นที่ ของ จ.ชาตอย ในภาคใต้ของ สาธารณรัฐเชชเนีย ท่านเกิดในชนบทเล้กๆที่มีแต่ความอบอุ่นจากครอบครัวชาวมุสลิมในด้าน การศึกษานั้น ท่านโดคู อูมารอฟ จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของสถาบันที่ทำเกี่ยว น้ำมัน ใน กรอซนีย์ เชสเนีย

การมีส่วนร่วม ของท่านโดคู อูมารอฟ ในสงคราม เชเชน
ในเดือนธันวาคม ปี 1994 โดคู อูมารอฟ ท่านไช้ชีวิตอยู่ที่มอสโคว์ ท่านเห็นว่า นี่คือหน้าที่ของท่าน ในการที่จะทำหน้าที่ของ มูญาฮิดีนเพื่อกลับไปที่ เชชเนีย และเข้าร่วมในการต่อสู้ ในระหว่างท่านได้เข้าร่วมในครั้งนั้น ท่านได้ควบคุม กองกำลัง มูญาฮิดีน และได้ทำการสู้รบในขณะนั้น และท่านได้นำกองกำลัง มูญาฮิดีน เข้าทำการต่อสู้กับ กองกำลังหน่วยรบพิเศสของ รัซเซียที่มีชื่อว่า กองกำลังแห่งหมาป่า ซึ่งในครั้งนั้นท่านได้ทำหน้าที่ อย่างกล้าหาญ และได้รับรางวัล แห่งความกล้าหาญ ในการทำหน้าที่รบ ระหว่างปี 1994-1996

การต่อสุ้ของท่านนั้น ก็โดดเด่นไม่แพ้มูญาฮิดีน ท่านอื่นๆ ซึ่งการต่อสู้ของท่านในครั้งนั้น ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของ รัฐบาล เชเชน ในระหว่างปี 1997 โดยการแต่งตั้งจาก ท่าน ประธานาธิบดี อัสลาน มาสคานอฟ 

ปี 1999 ท่าน โดคู อูมารอฟ ได้ทำหน้าที่ในการ เป็นผู้บัญชาการของ กองกำลังทหารและนักรบ มูญาฮิดีน ในระดับภูมิภาคและนำกำลัง มูญาฮิดีนต่อสู้กับ พวกรัซเซีย ด้วยความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม

ในช่วงฤดูหนาว ของปี 2000 โดคู อูมารอฟ ต่อสู้กับกองกำลัง ของรัซเซีย และได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัศที่ใบหน้า ในการปิดล้อมเมืองกรอสนี่ ตามที่ หน่วยสืบราชการลับ จอร์เจีย รายงานการบาดเจ็บของท่านในครั้งนั้นว่า โดคู อูมารอฟยังคง มี แผลเป็น บริเวณขากรรไกรล่าง แต่ในครั้งนั้น ท่านไม่ได้ปริปาก ในความเจ็บปวด คราวนั้นเลย

โดคู อูมารอฟ เป็นอีกท่านหนึ่งที่รัศเซียพยายาม ทำลายท่านด้วยความตายในหลายต่อหลายครั้ง แต่มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ และเป็นเพียง ข้ออ้างของทหารรัซเซียเท่านั้น ในเดือนมกราคม 2005 มีข่าวลือว่า โดคู อูมารอฟ ถูกฆ่าตาย ในการต่อสู้กับ หน่วยคอมมานโด รัสเซีย ใกล้ชายแดน จอร์เจีย แต่ข่าวดังกล่าวถูหปฏิเสฐโดย นักรบ มูญาฮิดีน เชเชน และ พวกเขาได้ยืนยันว่า ท่าน อูมารอฟ ยังคงมีชีวิตอยู่ และมันก็คือความจริงที่ท่าน ยังคง มีชีวิตอยู่ กับเหล่านักรบ มูญาฮิดีน แห่งเชสเนีย

ในเดือนเมษายน ปี 2005 โดคู อูมารอฟ และกองกำลัง มูญาฮิดีน ได้เข้าทำการต่อสุ้กับ คอมมานโดของ รัสเซีย 7 ชั่วโมงในการต่อสู้ ของท่าน ในกรอสนี่ ซึ่ง ในครั้งนั้น นักรบ มูญาฮิดีน หลายท่านได้ เป็น ชาฮีด ซึ่งในครั้งนั้นท่าน ก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ คอมาโด ของรัศเซียก็ ได้รับความสูญเสียในครั้งนั้นมากเช่นกัน
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 โดคู อูมารอฟ และเหล่า ทหาร มูญาฮิดีน ได้ทำการต่อสุ้อย่างดุเดือดอีกครั้งกับ เหล่าทหาร รัสเซีย ซึ่งในครั้งนั้นมีรายงานข่าวว่า ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัษ ที่ขาของท่าน แต่ความจริงแล้ว ในครั้งนั้น โดคู อูมารอฟ บาดเจ็บเพียงเล้กน้อย และสามารถ นำกองกำลัง มูญาฮิดีน โจมตีทหาร รัสเซีย และได้รับชัย ในครั้งนั้น ด้วยความ ปิติยินดี ของเหล่ามูญาฮิดีน

โดคู อูมารอฟ ได้กล่าวว่า การ ญิฮาด เพื่อปกป้องชาวมุสลิมในเชสเนียเป็นสิ่งจำเป็น ท่านยังกล่าวอีกว่า แม้พวกเราจะต้องสูญเสียผู้บังคับบัญชาที่กล้าแกร่่ง อย่าง ท่าน นายพล มาซาเยฟ และ นายพล ค๊อตฏีฮบ นั้น ก็ไช่ว่าพวกเจาจะหยุดในการ ญิฮาด และการ ญิฮาดจะต้องดำเนินต่อไป ตราบจนอธรรม อย่าง รัศเซีย หรือ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ยังคงดำเนินการ ในการ เข่นฆ่าชาวมุสลิมอยู่นั้น ตราบนั้น การญิฮาดจะต้องดำเนินต่อไป แบบไม่มีวันสิ้นสุด ข้าพเจ้าขอฝากไปยังชาติ มหาอำนาจทั้งหลายให้ประจักษ์ ถึงความกล้าหาญของเหล่านักรบ มูญาฮิดีน ทหารของอัลลอฮ ในการขับไล่ ผู้รุกราน"""

23 พฤศจิกายน 2006 เมื่อ มีรายงาน กองกำลังทหารของรัสเซีย ได้ทำการปิดล้อม กองกำลังของท่าน โดคู อูมารอฟ และเหล่า มูญาฮิดีน แห่งคอเคซัส ซึ่งตั้งค่ยอยู่ในป่าไกล้กับหมู่บ้าน ยานดีด ติดกับชายแดน รัสเซีย ซึ่งในการปิดล้อมของรัสเซียในครั้งนั้น พวกเขาได้ไช้ เฮลิค็อบเตอร์ และรถถัง และระดมยิงปืนใหญ่ ไส่กองกำลัง มูญาฮิดีน ของ อูมารอฟ แต่ท่านและเหล่านักรบ มูญาฮิดีนก็สามารถ สู้และหลุดรอดจากการปิดล้อมในครั้งนั้นมาได้ ซึ่งมีข่าวรายงานว่า โดคู อูมารอฟ ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ท่านก็สามารถ ฟันฝ่า ความเจ็บปวด และนำกองกำลัง มูญาฮิดีน ฝ่าวงล้อมของทหาร รัสเซียออกมาได้ อย่างน่าอัศจรรณ์

และ นเดือนตุลาคม 2007 ที่ รัฐบาล เชเชน ภายไต้การควบคุมของรัสเซีย รวมทั้งอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และชาติอื่นๆได้ประกาศว่า ท่าน โดคู อูมารอฟ และเหล่า มูญาฮิดีน เป็นกลุ่มก่อการร้าย สร้างความบั่นทอนให้กับภูมิภาค ทั้งๆที่ท่านรบ เพื่อ เชเชน มาโดยตลอด แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แม้ว่าจะมีคำประกาสออกมาแบบนี้ ก็ไม่ทำให้การต่อสุ้ของนักรบ มูญาฮิดีน ในเชเชน ลดน้อยลง แต่มันกลับเป็นแรงกระตุ้นให้ ท่าน โดคู อูมารอฟ และเหล่า มูญาฮิดีน ทำการ สู้รบ ในดินแดนนั้นต่อไป และจะไม่มีวันหยุดลง เพราะเขาคือ ยอดนักรบแห่ง คอเคซัส ขนานแท้ 
 
อมีร โดคู อูมารอฟ ได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ เมื่อ วัน 7 กันยายน ปี 2013 จากการ สู้รบกับคอมมานโด รัสเซีย
ขอพระองค์อัลลอฮ โปรดทรงประทานแสงสว่างในกูโบร์ให้ ท่าน อมีร โดคู อูมารอฟ ด้วยเถิด...อามีน
 
Arlee Khan Jundullah (แปลและเรียบเรียง)
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ยอดมุญาฮิดีน สมองเพชร แห่ง เชเชน(เชสเนีย)



ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ยอดมุญาฮิดีน สมองเพชร แห่ง เชเชน(เชสเนีย)

ในสมรภูมิรบ แห่ง เชสเนีย ความเก่งกาจ ต่างๆ นั้นนอกจากนักรบคนสำคัญๆที่เราเคยนำมากล่าวถึงหลายต่อหลายท่าน ซึ่ง ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ก็เป็นอีกหนึ่งท่านที่แม้ ชีวประวัติจะไม่โชคโชนสักเท่าใด แต่เรื่องของการวางแผนท่านนี้ก็ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน

ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ เกิด เมื่อ กันยายน 1952 ซึ่งท่านก็เป็นอีกท่านที่เกิดในชนบท ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ในวัยเด็กของท่าน ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ท่านเป็นดังสมองของ ขบวนการแห่งชาติ ชาวเชเชน เป็นอีกท่าน ที่ทำหน้าที่เป็น ผู้ช่วยวางแผนในเรื่องการ เคลื่อนไหวของญิฮาด ใน เชเชน ท่านเป็นคนที่หนักแน่น ในคำสั่ง แม้บันทึกประวัติศาสตร์เรื่องรวแห่งการ ญิฮาดของท่าน จะไม่เหมือนท่านอื่นๆ แต่ท่านก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ต้านทานชั้นดีอีกท่าน ที่มีต่อพวกรัสเซีย

ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ในความเป็นจริงแล้ว ท่าน เป็นที่รู้จักกัน ในหมู่ วงการวรรณกรรม เป็น กวีและนักเขียน ท่านเป็นนักปฏิวัติ แห่งเชเชน ที่สามารถ ปฏิวัติตนเองจาก คนที่เป็นเพียงนักกวี ไปสู่ นักการเมืองระดับ อาวุโศ จนกระทั่งเป็น มูญาฮิดีน ท่าน ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ท่านได้เรียนและศึกษาภาษา อาหรับ จากชาวอาหรับคนหนึ่งใน เชสเนีย ซึ่งท่านเองได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่ได้ศึกษา ภาษาอาหรับ มาตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ ท่าน ยัง เรียกร้องให้ ประเทศอาหรับ และ อิสลามอื่นๆ จัดส่งบุคลากรณ์ เพื่อ ให้มาสอนในด้านศาสนาอิสลาม กับชาวเชสเนีย และพี่น้องประชาชน ชาว คอเคซัส ซึ่งท่านได้สร้างโรงเรียที่สอนทางด้าน วิทยาศาสตร์ อิสลาม และภาษา อาหรับ ให้กับเยาวชนชาวเชเชน ได้ศึกษากัน

ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ เป็นอีกท่านที่ เป็น ผู้รับผิดชอบในการ เป็นผู้นำของ ญิฮาด เชเชนหลังจากการตายของประธานาธิบดี คน ก่อน อย่าง ประธานาธิบดี ดูดาเยฟ วันที่ 21/4/1996 ท่านได้ให้สัญญา ว่าจะจงรักภักดีต่อ สภาผู้นำ ชาวเชเชน และเช่นเดียวกัน ใน วันที่ 24/4/1996 ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็น ผู้เจรจาเกี่ยวกับเรื่อง พิพาด ระหว่าง ชาเชเชน กับ พวกรัสเซีย ซึ่ง ซึ่งท่านได้ตระหนักดีว่า ถึงความสำคัญของ ชาวเชเชน ถึงกับสาบานว่า ท่าน จะ ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะ ประสบความสำเร็จ และเพื่อความเป็นอิสระ ของชาว เชชเนีย ซึ่งใน27 พฤษภาคม 1996 ประธานาธิบดี บอริส เยลซิน ของรัสเซีย ได้เสนอที่จะให้มีการเจรจา เรื่องข้อพิพาด ระหว่าง รัสเซีย กับ ชาว เชเชน ซึ่งท่านเอง ก็ตอบโต้ และไม่ยอมที่จะเสียเปรียบพวกรัสเซีย โดย กดดันให้พวก รัสเซียภายไต้การนำ ของ ประธานาธิบดี บอริสเยลซิน ยอมลงนาม บรรลุข้อตกลงเรื่องดินแดน กับชาว เชสเนีย

ในปลายปี 1996 ซลิมคาน ยานดาร์บีเยฟ ท่านได้เสนอ บทบัญญัติ ของ กฎหมายอิสลาม ให้เป็นที่ถูกต้องตามกฏหมาย ในการตัดสินเรื่องราวต่างๆของศาล เชสเนีย ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีความพยายาม ในการที่จะสร้าง สังคมอิสลาม ใน เชสเนีย ให้แข้งแกร่ง โดยความต้องการของท่านนั้นคือ ท่านต้องการ ผลักดันหลักสูตร ภาษาอาหรับแด่ บรรดา เยาวชนให้มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น ในทุกๆโรงเรียนของ เชชเนีย ไม่เพียงเฉพาะ ชาวมุสลิม แต่หากรวมถึงชาว เชเชน ต่างศาสนิก อีกด้วย โดยท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า""ผม ผม ปฏิเสธที่จะ ที่จะไช้ ระบอบการปกครองแบบ พวก ตะวันตก แม้กระทั่งเรื่องของการศึกษาของ เยาวชน ชาว เชเชน ผมอยากจะให้ ประชาชน ในทุกศาสนาที่เป็นชาว เชเชน ได้เรียนรู้และได้อยู่ภายไต้การ ปกครอง ในระบบ อิสลาม ซึ่งพวกเขา สามารถ ไช้สิทธิต่างๆของพลเรือน ได้เต็มที่ภายไต้ระบอบ และการศึกษา แบบอิสลาม พวกเขาจะได้รุ้ถึงคุณค่าของ ศาสนาอิสลาม""

ท่านยังเป็นผุ้ที่อยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร็จของการ ญิฮาด ของ ชาวเชเชน และ มูญาฮิดีน โดยเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ ของ ประธานาธิบดี อัสลาน มัสคาดอฟ ที่มีชัยชนะเหนือคู่แข่ง ก็ล้วนมาจาก ความเฉียบคมของท่านนั่นเอง และยังเป็นนักวางแผนที่เฉียบคม ในการ ญิฮาดของ ชาวเชเชน อีกด้วย

วันศุกร์ที่13 กุมภาพันธ์ ปี 2004 ท่านได้เสียชีวิต ที่ประเทศการ์ต้า ซึ่งมีคนพยามลอบสังหารท่านด้านหลังซึ่ง ในช่วงนั้นท่านได้ไปไช้ชีวิตที่การ์ต้า ซึ่งท่าน ถูกส่งไปโดยรัฐบาลเชชเนีย ซึ่ง ในขณะนั้นอยู่ในสภาวะสงคราม จึงจำเป็นต้องส่งท่านไป อยู่ที่การ์ต้า และรักษาการเป็นรองประธานาธิบดี และช่วยวางแผนในการรบ ให้กับ มูญาฮิดีน ในเชสเนีย ซึ่ง ท่านก็ได้เสียชีวิตลงที่นัั่น ซึ่งสื่อต่างๆพยายามบอกว่า การเสียชีวิตของท่าน ไม่ได้เกี่ยวข้อง กับ สงคราม ในเชชเนีย ซึ่ง ทุกสิ่งและการตายและความเป็นจริงของท่านนั้น อัลลอฮเท่านั้นย่อมรู้....ขอพระองค์อัลลอฮโปรดประธานแสงสว่างให้กูโบร์ท่านด้วย...อามีน
 
 
แปลและเรียบเรียงโดย Arlee Khan Jundullah

อิหม่าม ชามีล ตำนานนักรบเชเชน




อิหม่าม ชามีล ตำนานนักรบเชเชน

ประวัติศาสตร์ที่จารึกเรื่องราวของผู้กล้าจากหลายต่อหลายที่ของโลก อิหม่าม ชามีล คือหนึ่งในนั้นเช่นกัน น้อยคนที่จะรุ้จัก ท่านผู้นี้ ซึ่งท่านถือว่าเป็นนักต้านทานตัวยง ในสมัยยุคอดีดตกาล ยอดนักรบ ยอดนักบริหาร ยอด นักสู้ ยอดนัก ต้านทานอธรรม อิหม่าม ชามีลคือหนึ่งในนั้น

อิหม่าม ชามีล เกิด ปี 1797 ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า หมู่บ้าน เกมรี่ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือประเทศเชชเน...ียนั่นเอง ท่านเติบโตมา ในวัยเด็กซึ่งท่านเองเป็นเด็กชายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่ วัยเยาแล้ว มันสมองอันปราดเปรื่อง อิหม่าม ชามีล คือยอดนักการศาสนา และนักการเมืองนักบริหาร อย่างแท้จริง อิหม่าม ชามีล ได้ศึกษา ในแนวทางศาสนาอิสลาม มีความสามารถในด้านภาษา ต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษาอาหรับ หรือภาษา เปอร์เซีย ในบรรดายอดนักสุ้ของ เชเชน ต้องจารึกชื่อท่านไว้ ในเรื่องกิติศัพย์ ในการนำ มุสลิม ในภาคเหนือ ของ คอร์เคซัส หรือ เชเชเนีย ทำการต่อต้าน ชาว รัสเซีย เป็นจำนวน มากมายหลายครั้ง อิหม่ามชามีล คือนักรบที่แข็งแกร่ง ในตาสีฟ้า และผิวพันธ์ที่ขาวผ่อง กับมันสมองที่เป็นเลิศ ทุกๆด้าน

ปี 1834 อิหม่าม ชามีล ได้นำทหาร มูญาฮิดีน เชเชน ในสมัยอดีด ทำการต่อต้านชาวรัสเซีย ที่พยามบุกเข้ามา ในคอร์เคซัส ความแข็งแกร่งของท่าน ท่านได้รับฉายา จาก ประชาชน ในสมัยนั้นว่า"สิงโตภูเขาแห่ง คอเคซัส"การต่อสู้ต้านทานชาวรัสเซีย ของชาว เชเชนนั้น มีตั้งแต่อดีดแล้ว อิหม่าม ชามิล คือนักรบตัวยง ในการรบด้วยดาบ และการวางแผนอันเหนือชั้น ที่มีต่อศัตรูการทำให้ศัตรู แตกพ่าย การซุ่มโจมตี กลยุทธที่ เหนือชั้น ของท่าน สามารถยับยั้ง ข้าศึกได้แบบ พลิกความคาดหมายเลย ก็ว่าได้
ก่อนการรบ เมื่อ ปี 1828 อิหม่าม ชามิล ได้เคยเดินทางไปยัง นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอารเบีย เพื่อเข้าพบ กับเจ้าชาย อับดุล กอดีร์ ซึ่งท่านได้ไปขอรับคำปรึกษา จาก เจ้าชาย อับดุล กอดีร์ ในเรื่องของการต้านทาน การรุกรานของ จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งเป็นอีก จักรวรรดิ ในประวัติศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ จักรวรรดิ เปอร์เซีย ซึ่ง ในการ ต่อต้าน จักรวรรดิรัสเซีย ในอดีด เมื่อ ปี 1834 นั้นถือได้ว่า ครั้งนั้น อิหม่าม ชามีล ได้ไช้ บรรดานักรบ ต่างๆจากชนเผ่าอื่นๆในแถบนั้น ไช้วิถีการ ซุ่มโจมตีในแบบกองโจร เพื่อทำการสกัดทัพของ รัสเซีย ให้แตกเป็นทัพเล้กทัพน้อย หมายความว่า ท่านไช้วิถีการ ทำให้กองทัพรัสเซีย จากกองทัพใหญ่ แตกพ่ายเป็นกองทัพเล็กๆ ซึ่งมันสมองของท่านนั้น เฉียบคมทุกๆการวางแผน เด็ดขาด ในทุกการกระทำ อิหม่าม ชามิล ได้ไช้กลยุทธที่เหนือชั้น ชนิดที่ว่า เหนือความคาดหมายสยบกองทัพใหญ่ๆให้ปราชัยไปในที่สุด

ในด้านการปกครองของท่านนั้น อิหม่าม ชามีลได้ยึดการไช้ระบอบ อิสลามหรือระบอบ คอลีฟะฮ์ มีการไช้กฏหมายชารีอัตที่เคร่งครัด คนร่ำรวย ต้องส่ง ซากาต ให้คนยากจน และ ในระบบการพัฒนาประเทศนั้น ท่านได้ให้ความสำคัญกับ การทำการเกษตร และ แนะนำ ในเรื่องการทำการเกษตร ที่มีประสิทธิภาพให้บรรดาประชาชน ได้รับรู้และเข้าใจและสามารถปฏบัติได้อย่างแท้จริง

การต้านทานกองทัพของ จักรวรรดิรัสเซีย ตั้งแต่ ปี 1834 เป็นต้นมานั้น ตลอดระยะเวลาการต้านทาน และต่อสู้นับแต่ปี 1834-1859 การันตีในความแข้งแกร่งของท่าน ได้ กลยุทธ์ โจมตีในหุบเขา กลยุทธ์ โจมตีแบบรวดเร็ว การไช้ กับดัก แสดงให้เห็นถึงมันสมองอันชาญฉลาดของท่านเป็นอย่างดี เฉพาะการต่อสุ้แบบโจมตี ในแบบกองโจร ย่อยๆนั้นกองกำลังท่านสามารถ สังหารข้าศึกได้ถึง 10000 คน ในการไช้วิถีการแบบกองโจร จากการต้านทานและการต่อสุ้ในเวลาที่ยาวนาน เมื่อถึงเวลาที่อ่อนแอ ท่านถูกจับโดย จักรวรรดิรัสเซีย ในปี 1859 ท่านถูกส่งไปยัง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อทำการไต่สวน โดย กษัตร์ รัสเซีย การเนรเทศ ไปยัง กาลูกา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ชาญกรุง มอสโคว์ การต้องไช้ชีวิต ในการถูกควบคุม นั้น อิหม่าม ชามิล ไม่เคยมีความหวาดหวั่นเลย มนหัวใจ ตลอดระยะเวลาที่มีอยุ่นั้น อุดมการณ์ของท่านไม่เคยเปลี่ยน หัวใจยังคงเรียกร้องแสงว่างแห่ง ความเสรีภาพ และการได้กลับไปยัง มาตุภูมิ การเคยเป็นนักต่อต้าน จักรวรรดิรัสเซีย ความเก่งกาจในการต่อสุ้แบบกองโจร การวางแผน และ มันสองเพชร ทุกๆสิ่งนั้นยังคงอยุ่ในความทรงจำของ ชาวเชเชนเป็นอย่างดี ในฐานะ วีรบุรุษยอดนักรบ แห่ง คอร์เคซัส

ปี 1869 แสงสว่างและความเมตตาแห่งอัลลอฮ ก็กลับมาหาท่าน ท่านได้รัอิสรภาพจากการถูกกับ จากการเนรเทศ การได้ขอเดินทางกลับบ้านคือสิ่งที่ท่านต้องการ ท่านได้กลับไปยังบ้านเกิด ท่านก็ทราบดีว่า คอร์เคซัส เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความหวังของท่าน ในบั้นปลายคือการได้เดินทางไป ประกอบพิธีฮัจตลอดระยะเวลาเดินทางไปทำฮัจ ท่านได้ผ่านยังดินแดนต่าง และผ่านไปยัง ฮิสตั้นบูล ซึ่งในยุคนั้นคือ จักรวรรดิออดโตมาน ซึ่งจนในที่สุดการเดินทางก็ได้พาท่าน อิหม่าม ชามีล ไปถึง นคร มักกะฮ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์ แล้วนั้น ท่านก็ได้จบชีวิตลง ที่นคร มาดินะฮ์ ประเทศ ซาอุดีอาราเบีย ซึ่งในขณะนั้นคือ จักรวรรดิออดโตมาน เส้นทางแห่งความกล้าหาญได้สิ้นสุดลง ซึ่งท่านจากไปเมื่อ มีนาคม 1871 ขณะที่ท่านไช้วีวิต ในวัยชรา อยุ่ ในมาดินะฮ์ ซึ่งในวันที่ท่านจากไปท่านมีอายุได้ 73 ปี มัยยัดของท่านได้ฝังอยุ่ที่ กูโบร์ บาคีร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสุสานที่สำคัญอีกแห่งของประเทศ ซาอุดีอารเบีย ซึ่ง การจากไปของท่านและตัวอย่างของท่านนั้น ได้สร้าง วีรบุรุษแห่งอิสลาม ขึ้นมา ในเชชเนีย แบบ ไม่มีวันหมดสิ้น จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง ในการไปทำฮัจญ์นั้นมักจะมีชาวมุสลิมในที่ต่างๆไปเยี่ยมกูโบร์ท่านอย่างมากมาย
ขออัลลอฮโปรดทรงประทานแสงสว่างให็กูโบร์ของท่าน อิหม่าม ชามิล ด้วยเถิด...อามีน


เเปลเเละเรียบเรียงโดย Arlee Khan Jundullah

ซุลต่าน ลาปู ลาปู ยอดผู้พิทักษ์ปฐมบทแห่งอิสลาม ในฟิลิปปินส์



ซุลต่าน ลาปู ลาปู ยอดผู้พิทักษ์ปฐมบทแห่งอิสลาม ในฟิลิปปินส์

กล่าวถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ของฟิลิปปินส์แล้ว ยากที่จะรู้ว่า ในความเป็นจริง วีรบรุษอิสลามนั้น ก็เคยทำการต่อสู้เพื่อปป้องดินแดนแห่งนี้จากนักล่าอนานิคมเช่นกัน น้อยคนที่จะรู้จักท่านผู้นี้ ซุลต่าน ชาวมุสลิมผุ้แข็งแกร่ง นาม ลาปู ลาปู ยอดนักรบ วีรบรุษแห่งอิสลามอีกท่านใน ทวีปเอเชีย

ชาวอาหรับ และชาวมุสลิม เป็นที่รู้จักกัน มาตั้งแต่ สมัยโบร...าณใน หมู่เกาะฟิลิปปินส์ ศาสนาอิสลาม ได้รับการ แพร่กระจายโดย พ่อค้าชาวอาหรับ และบรรดา นักเผยแพร่ศาสนา ตั้งแต่เกาะสุมาตตรา จนกระทั่งถึง ฟิลิปปินส์ ราว ปี 1380 ซึ่ง ก่อน การมาถึงของศาสนาอิสลาม ชาวสเปนได้เข้ามาในดินแดนแห่งนี้มาก่อน กว่า 7,000 เกาะ นับตั้งแต่สุมาตตราจนกระทั่งถึงฟิลิปปินส์ ล้วนอยุ่ในการควบคุมของชาวสเปน ใน ปี1521 ชาวสเปน ที่นำโดย เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ได้เข้ามาสร้างความสัมพันธ์ กับชาวตากาล็อก และ พวกสเปน ยังมีความคิดที่จะย้ายชาวสเปนบางส่วน มายึดครองเกาะที่มีชื่อว่า" เมดทัน ไอซ์แลนด์"โดยเกาะดังกล่าวมีสุลต่าน มุสลิมที่มีนามว่า ลาปุ ลาปู

การต่อสู้ระหว่างชาวสเปนกับ สุลต่าน ลาปู ลาปู นั้น ชาวสเปนได้ไช้อาวุธที่ทันสมัย ในการต่อสุ้กับกองกำลังของ สุลต่านท่านนี้ เมื่อกองทัพของสเปนยกพลขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้นั้น พวกเขาได้ทำการทำลาย บ้านเรือนและเผากระท่อมของชาวบ้านในเกาะนี้ ประชาชน ในเกาะแห่งนี้ ต่างมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับชาวสเปน แม้ว่าจะต้องสุ้กับอาวุธที่ทันสมัยกว่าก็ตาม เมื่อ ดวงอาทิตย์อยู่ใน ช่วงกลางของ ท้องฟ้า.. เรือของ มาเจลลัน ได้เข้ามาไกล้เกาะแห่งหนึ่งของชาวมุสลิม ใน ปี 1521 .ชาวเกาะ " เมดทัน ไอซ์แลนด์"ประกาศความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะสุ้กับ ชาวสเปน ซึ่งพวกเขาอยู่ภายไต้การรวมตัวจากการนำของชายผู้หนึ่ง ที่มีนามว่า ลาปู ลาปู ซึ่งชาวบ้านและประชาชน ต่างมีความพร้อมในการ ต่อสู้กับผู้รุกราน ในขณะที่ชาวสเปน จะเข้ามาและบุกขึ้นมาบนเกาะนั้น สุลต่าน ลาปู ลาปู ได้ไช้ อาวุธที่คิดค้นเอง ยิงไส่เรือของชาวสเปน ขณะนั้นเช่นกัน ชาวสเปนก็จะไช้ให้กำลังพล ลงเรือเล็กและหมายที่จะ พายเข้ามาในเกาะเพื่อต่อสุ้กับชาวมุสลิม

ลาปู ลาปู และนักรบของท่านต่างยิงลูกศรและธนูไส่พวกสเปน ซึ่งพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความแข้งแกร่งและความไม่หวาดกลังแม้ว่า ในยุคนั้น สเปน จะเป็นหนึ่งในนักล่าอนานิคมก็ตามแต่ เมื่อทหารสเปน ต้องโดนโจมตีจากชาวเกาะอย่างรอบด้าน เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ผู้นำกองรบสเปนสามารถขึ้นมาบนเกาะได้ภายไต้การดูแลของเหล่าทหารสเปน แต่เขาก็กลับโดนเหล่าชาวบ้าน ซึ่งในขณะนั้นต้องการที่จะฉีกร่างของ ขุนศึกชาว สเปนนายนี้ให้สิ้นซากไปต่อหน้าต่อตา การต่อสู้ระหว่าง ชาวสเปน กับนักรบของเกาะ เมดทัน ไอซ์แลนด์ เป็นไปอย่าง ดุเดือดเลือดพล่าน ชาวสเปน ประเมิน ชาวมุสลิมในเกาะแห่งนี้ต่ำไป พวกเขาไม่เคยทราบและไม่อยากเชื่อในสายตาของตนมาก่อน เลยว่า ชาวมุสลิม ในเกาะแห่งนี้ช่าวกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง ทหารของสเปน ที่ไส่เสื้อเกราะ และหมวกเหล็กต้องสุ้กับนักรบที่มีสภาพ ที่พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆเลย พวกเขาไช้ดาบไช้ ไม้ไผ่ เหล่าให้แหลมและต่อสุ้กับชาวสเปน พวกเขาไช้กับดักในการต่อสู้และยุทธวิธีของพวกเขาในแบบฉบับของพวกเขา ซึ่งมันไช้ได้ดีกับการต่อสุ้กับทหารสเปน ซึ่ง พวกสเปนเมื่อเจอเช่นนี้ถึงกับเสียขวัญเป็นอย่างมากในการต่อสุ้ที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะยากลำบากเช่นนี้

เช่นเดียวกัน การเผชิญหน้าระหว่าง เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน กับ ชายหนุ่ม ที่มีนามว่า ลาปู ลาปู มาเจลสัน ในชุดของเขาที่ไส่เสื้อเกราะ และหมวกเหล็ก ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่มีชุดเกราะป้องกันอย่าง ชายหนุ่มผู้นี้ พวกเขาตกลงกันว่าให้ผู้นำของพวกเขาดวล กันตัวต่อต่อ ทั้งสองต่อสุ้กันแบบ ดุเดือด ลาปู ลาปู ก็ไม่เป็นรองเช่นกัน เขาต่อสุ้กับ มาเจลสัน ด้วยความรวดเร็วและแข็งแกร่ง ลาปู ลาปุ ได้ไช้ความสามารถในการไช้หอกต่อสุ้กับ มาเจลสัน จนกระทั่ง นายกองชาวสเปน เกิดพลาดท่า แต่บาดแผลไม่ลึกมาก เขายังคงต่อสุ้กันต่อไป จนกระทั่ง มาเจลสัน หมดเรียวแรง และโดน ฟาดฟัย จนเลือดโทรมกาย ผู้คนต่างร้องประกาศก้องกันเสียงดังสนั่นว่า ลาปู ลาปู ชนะแล้ว ซึ่งท่านสามารถ ปลิดชีพ นายกองชาวสเปนผุ้นี้ได้สำเร็จ จนในที่สุด พวกสเปน แตกพ่ายไม่เป็นท่า พวกเขารีบหนีขึ้นเรือเล้กและนำศพของ มาเจลสันกลับไปยังเรือ ซึ่งพวกเขาเองได้ตระหนักถึงความแข้งแกร่งของชาวมุสลิม ในเกาะโดยเฉพาะความรวดเร็วของนักรบ ที่มีนามว่า ลาปู ลาปู สุลต่านผู้หนุ่มแน่นแห่ง เกาะ เมดทัน ไอซ์แลนด์" ประเทศฟิลิปปินส์

ลาปู ลาปู ท่านคือสุดยอดวีรบรุษย์ของชาติและของชาวฟิลิปินส์อย่างแท้จริง เรื่องราวและวีรกรรมของท่านยังคงกล่าวถึงเสมอมา สำหรับฮีโร่ของชาว ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว มุสลิม ท่านเป็น ฮีโร่ผู้ถูกยอมรับว่าเป็นผู้กล้าหาญที่สามารถ ต้านทานลัทธิล่าอนานิคมได้ และสามารถสังหาร ขุนพลสเปนได้สำเร็จ ท่านคือสุดยอดนักรบโบราณ อย่างแท้จริง และความกล้าหาญของ นักรบ ที่มีนามว่า ลาปู ลาปู ยังคงเป็นวีรบุรุษที่ถูกกล่าวขานตั้งแต่วันนั้นในอดีด จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน


เเปลเเละเรียบเรียงโดย Arlee Khan Jundullah

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฏ็อด อามีรสูญสุดของอัล-กออิดะฮ์ เเห่งแอลจีเรีย

 
 
 


เชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฏ็อด
ชื่อจริง: Abu Musab Abdul Malik Droukdel
อามีรสูญสุดของอัล-กออิดะฮ์ เเห่งแอลจีเรีย
Al-Qaeda fie Maghrib Islam (AQIM)

เชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฎ็อด เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1970 ในเมือง Meftah แอลจีเรีย ท่านได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านของคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Blida ก่อนที่จะเข้ารวมเป็นมุจาฮีดีนในปี 1996
ช่วงสงครามการรุกรานอัฟกานีสถาน ท่านได้เดินทางเข้ารวมทำสงครามญีฮาดขับใล่การรุกรานของกองทัพเเดงโซเวียต เเละได้เป็นผู้บัญชาการคนสำคัญในช่วงเวลานั้น
ในขณะที่ท่านต่อสู่อยู่ในอัฟกานิสถาน ท่านได้มีโอกาสรู้จักเเละรวมงานกับผู้ก่อตั้งกลุ่ม อัล-กออิดะฮ์ อิรัก (จุดกำเนิด รัฐอิสลาม) เชค อาบูมูซาบ อัล-ซัรกอวีย์ (ร.ฮ) ที่ซาย์ฮิดจากการโจมตีโดยอเมรีกา เมื่อปี 2006
หลังการเสียชีวิต (ซาย์ฮิด) ของเชค ซัรกอวีย์ ท่านทราบข่าวเเละเสียใจกับการจากไปของผู้นำคนสำคัญใน อิรัค เเละได้ปล่อยคลิปวิดีโอ ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยที่กล่าวว่า: "..โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและมุรตัดดีนทั้งหลาย ความสุขที่พวกเจ้าสามารถสังหาร ซัรกอวีย์ มันจะเป็นเพียงเเค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่พวกเจ้าต้องพบกับความเจ็บปวดร้องไห้เสียใจเป็นเวลานาน ... เพราะเราทุกคนคือซัรกอวีย์"

ช่วงปี 1996 สินสุดสงครามอัฟกานิสถาน
ท่านกลับไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย และเข้าร่วมกับ GSPC
จนได้รับการแต่งตั้งผู้นำในภูมิภาค menjadai อยู่เป็นเวลาหลายปีก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอามีรสูงสุดของ GSPC ในปี 2004 หลังจากการเสียชีวิตของผู้นำคนก่อน Syeikh Nabil Sahraoui เมื่อปี 2004
สงครามญีฮาดในทวีปเเอฟริกา GSPC ภายใต้การนำของเชค อาบูมูชาบ อับดุลวาฎ็อด ท่านเริ่มดำเนินงานจากระดับท้องถิ่นเเละได้ขยายไปทั่วทวีปโดยไม่ จำกัดขอบเขต จนถูกพิจารณาโดยประชาคมโลกจัดขึ้นบัญชีเป็น "กลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศ" เพราะเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของต่างประเทศในทวีปแอฟริกา เเละเดือนกันยายน ปี 2006 GSPC ประกาสสลายเข้าร่วมกับ องค์กรญิฮาดระดับโลก และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น อัล-กออิดะฮ์ เเห่งเเอลจีเรีย Al-Qaeda fie Maghrib Islam (AQIM) เมื่อเดือนมกราคม ปี 2007

->>>>>>>>>>>
การดำเนินงานของอัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย ภายใต้การนำของท่านได้ทำการโจมตีที่ร้ายแรงอย่างต่อเนื่องในประเทศเเอลจีเรีย
- เมื่อตุลาคม ปี 2006 อัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย ได้ทำการโจมตีครั้งร้ายเเรงที่สุด ด้วยหน่วยพลีชีพในสถาณีตำรวจเเห่งชาติเขตชานเมือง Dergana-Réghaïa
- วันที่ 10 ธันวาคม 2006 โจมตีขบวนรถทหารต่างชาติในเมือง เเอลเจียร์ ทางด้านตะวันออกของเเอลจีเรีย
- วันที่ 3 มีนาคม ปี 2007 อัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย ทำการโจมตีเอกราชธุของ รัฐเซีเรีย
- วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2007 เจ็ดการโจมตี ด้วยระเบิดรถยนต์ทำลายระบบรักษาความปลอดภัยใน Boumerdes-Tizi-Ouzou
- วันที่ 11 เมษายน 2007 ท่านเชค อาบูมูซาบ ยังรับผิดชอบในการวางระเบิดสถานที่ราชการและสำนักงานตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรมแอลจีเรีย การโจมตีเหล่านี้ส่งผล ให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน และบาดเจ็บกว่า 245 คน
เเละนอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2007 อัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรียยังอ้างความรับผิดชอบ สำหรับการโจมตีสำนักงานสหประชาชาติและอาคารศาลรัฐธรรมนูญในแอลเจียร์ ทำให้สมาชิกคณะกรรมการเสียชีวิตหลายราย นอกเหนือจากการโจมตีต่อผลประโยชน์ของต่างประเทศและรัฐบาล อัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย ยังมีการจับกุมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและทหารสหรัฐหลายคนในช่วงปี 2008, 2009,

ในหลักสูตรของอัล-กออิดะฮ์ เเห่งเเอลจีเรีย ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นตามที่คาดหวังไว้ เนื่องจากเกิดความขัดเเย้งภายใน เมื่อปี 2012 เเกนนำหลายคนที่ได้แยกตัวเองออกจากเชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฎ็อด เพื่อสร้างกลุ่มเเละเเต่งตั้งผู้นำคนใหม่ Mokhtar Belmokhtar แม้ว่าอัล-กออิดะฮ์ เเห่งเเอลจีเรียจะแยกกับ Belmokhtar เเต่ในเชิงควาามสำพันธ์ยังมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับองค์กรญิฮาด อัล-กออิดะฮ์ศูนย์กลาง
เเม้สมาชิกบางคนของอัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย ได้แยกตัวเองจากสกัดของเชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฏ็อด แต่สหรัฐยังเชื่อว่านี่คือกลุ่ม ที่เป็นภัยคุกคามมากที่สุดต่อกองทัพสหรัฐเเละผลประโยชน์ตะวันตก เพราะยังมีนักรบอัล-กออิดะฮ์อีกหลายพันคน ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในทวีป เเอฟริกา ของประเทศ Maghribil, Mali, Aljazair, Niger, Mauritani, Libya, Tunisia dan Maroko.
เมื่อเดือน มีนาคม ปี 2012 รัฐบาลเเอลจีเรีย ได้ปล่อยข่าวว่าเชค อาบูมูซาบ อับดุลวาฎ็อด ถูกจับกุมเเละตัดสินโทษประหารชีวิต แต่ต่อมาเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี 2014 ท่านปรากฏตัวขึ้นในคลิปวิดีโอพร้อมระกาสว่า " Jama’ah Humat Ad-Dakwah As-Salafiyah" ได้เข้ารวมกับอัล-กออิดะฮ์ เเอลจีเรีย Al-Qaeda fie Maghribil Islam (AQIM) "
การปรากฏตัวในวิดีโอเมื่อ กรากฎาคม ปี 2014 ได้เเสดงให้เห็นว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เเต่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในหูบเขาทางภาคเหนือ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย พร้อมยังคงฝึกอบรมเหล่านักรบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สมาชิกทุกคน ที่จะแพร่กระจายไปทั่วทวีปแอฟริกาตะวันตกและภาคกลาง เจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐกล่าวว่า อัล-กออิดะฮ์ เเห่งเเอลจีเรีย เป็นกลุ่มที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดและมีประสิทธภาพมากในการโจมตี จากกลุ่มญีฮาดที่เคลื่อนไหวอยู่ในทวีปเเอฟริกา เช่น มุจาฮีดีนโบโก ฮาราม เเห่งไนจีเรีย เเละมุจาฮีดีน อัล-ชาบัต เเห่งโซมาเลีย ..

->>>>>>>>>>>
ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงโปรดปรามประทาน ความง่ายดายในการดำเนินงานของท่าน เเละทรงค้มครองท่านเชค อาบูมูซาบด้วย อามีน
เเปล-เรียบเรียงโดย; Mizee Mizu

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประธานาธิบดี อัสลาน มัสคาดอฟ แห่งเชเชน

 
 


ประธานาธิบดี อัสลาน มัสคาดอฟ แห่งเชเชน ยอดผู้นำ มูญาฮิดีน ที่โลกไม่ลืม

อัสลาน‬ มัสคาดอฟ เกิดปี 1951 เรียกร้องความสนใจ โดยที่ที่ บิดา ซึ่ง บิดา และมารดา ท่านได้ให้กำเนิดท่าน ในหมู่บ้าน ซูบาร์ ในจังหวัด นัดเชอน่า สาธารณรัฐ เชชเนีย ในครอบครัว ที่อบอุ่น ในวัยเด็กท่านต้องต่อสุ้กับความยากจน และความ ที่จะต้องดิ้นรนจากการเป็นอิสระ จากความเหลื่อมล้ำของสังคมในยุคนั้น

อัสลาน มัสคาดอฟ จบการศึกษาจาก จอร์เจีย ในปี 1972 และจากนั้น ท่านได้เข้าร่วมกับสถาบัน ทางทหารในเมือง เลนินกราด และได้จบการศึกษาอีกครั้งที่สถาบันการทหาร ระดับเกียรตินิยม ในปี 1981 หลังจากนั้นท่านได้มาทำงาน อยุ่ ในฮังการี่ ในตำแหน่งของผู้บัญชาการทางทหาร ในสัยนั้น ของโซเวียด และเป็นที่ยอมรับ ในหมุ่เพื่อนฝูงของท่าน ในเรื่องของความฉลาดและปราถเปรื่อง

ในปี 1993 หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียดท่านอัสลาน มัสคาดอฟ ท่านได้รับตำแหน่ง ประธานฝ่ายพลเรือน ของสาธารณรัฐ เชชเนีย และ มีนาคม 1994 ท่านก็ได้ได้รับแต่งตั้ง เป็นประธานเสนาธิการร่วม กองทัพ แห่งสาธารณรัฐ เชเชน และเดือนธันวาคม 1994 ถึงเดือนมกราคม 1995 ท่านได้รับตำแหน่งให้รับผิดชอบและป้องกันทำเนียบประธานาธิบดี ในเมือง กรอซนีย์

หลังจากที่ รัศเซีย บุกเข้ามาไช้กำลังทางทหาร ในเชสเนีย ท่านก็เป็นผู้นำที่อาสาที่จะดับความทะเยอทะยาน ของพวกรัซเซีย เดือนสิงหาคม ปี 1996 ท่านได้ออกคำสั่งให้ มีการโจมตีตอบโต้ทหาร รัสเซีย ในกรอสนี่ เพื่อที่จะแสดงให้ทั้งโลกรู้ว่าท่าน และชาเชน ไม่เคยมีความหวดกลัวกับพวกรัสเซียเลย แม้ว่าจะมีกองกำลังที่ แข็งแกร่งก็ตามแต่ ซึ่งจากการต่อสุ้ของ นักรบ มูญาฮิดีน ในเชเชน และ เหล่า ชาวเชเชนนั้น ได้สร้างความเสียหายไม่ไช่น้อยให้กองทัพรัสเซีย จนในที่สุด ประธานาธิบดี บอริสเยลซิน ขอเจรจาเพื่อให้ความสูญเสียน้อยลง

ซึ่งปรากฏ บ ที่ 31 สิงหาคม 1996 หลังจาก เจรจากับ อเล็กซานเด อร์ เลเดบ, เลขานุการของ คณะมนตรีความมั่นคง รัสเซีย ก่อนหน้านี้ ได้ลงนามใน อัสลาน มัสคาดอฟ ได้ ยื่นข้อเสนอว่า ให้มีการถอนทหารรัสเซีย ออกไปจากเขต แนวรบซะ!โดยที่การเจรจานั้นล้มเหลว พวกรัซเซีย พยายาม ฝืนกฏที่วางเอาไว้ ส่งผลให้มีการ ต่อสุ้กันต่อไป

รัสเซีย พยายามส่งทหารเข้ามาเพื่อทำการสู้รบกับ เชสเนีย พวกรัสเซียได้ส่งหน่วยรบพิเศสที่เก่งที่่สุดเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ และต้องพ่าย ไปกับการต่อสุ้กับ กองกำลัง มูญาฮิดีน ในเชสเนีย ซึ่ง ท่านได้วางแผนต่อสุ้กับพวกรัสเซียและสมารถ หยุดความบ้าของรัสเซียด้วยการ ทำลายเครื่องจักรสงครามทางทหารของรัสเซีย ให้พังพาบแบไม่เป็นท่าน ด้วยแผนที่เฉียบคมของท่าน

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 1997 เขาได้รับเลือก ท่าน อัสลาน มัสคาดอฟ ได้รับเลือกให้ดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งท่านเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ในความกล้าหาญของท่าน และการสนับสนุน มูญาฮิดีนให้ต่อสุ้กับ รัสเซีย

ในปี 1999 นำ ในสงคราม ญิฮาด กับการ ปรากฏตัวของรัสเซียในครั้งที่สอง โดยท่านเป็นผุ้สนับสนุน ท่านนายพล ชามิล บาซาเยฟ ในการนำ กองกำลัง มูญาฮิดีน แห่ง เชสเนีย เข้าทำการต่อสุ้กับ รัสเซีย นอกจากการจะเป็นผู้นำแล้ว ในสมรภูมิเอง ท่านได้เป็น มูญาฮิดีน ในคราบของประธานาธิบดี ซึ่งท่านรับตำแหน่งเป็นพลแม่นปืน ในการสุ้รบ กับ ทหารรัสเซีย ที่มากระทำการข่มเหง พี่น้องประชาชน ชาวเชสเนีย ซึ่งนอกจากเป็นนักวางแผนและเจรจาแล้ว ท่านยังเป็นนักรบที่กล้าหาญ อีกท่าน เลยก็ว่าได้

โดยที่ท่านได้เคยกลล่าวไว้ว่า"" เราจะขอ ไช้เวลา ชีวิต และทรัพสินของเราไปในวิถีทางแห่งอัลลอฮ เพื่อปลดปล่อย การกดขี่ในประเทศเรา เชสเนีย ยังคงตกเป็นเหยื่อแห่งการรุกราน ซึ่งการ ญิฮาด คือคำตอบเดียวในการที่จะปกป้องพี่น้องชาวเชเชน มันจะอยุ่ใน หัวใจพวกเราเสมอ เพราะ แท้จริง พระเจ้าส่งเรามายับยั้ง ความเลวทรามของพวกรัสเซีย ในการ เข่นฆ่า คนบริสุทธ์ และทำการละเมิด สิทธิของพี่น้อง มุสลิมในเชสเนีย พวกเราชาวเชเชนจะยอมปกปักบ้านของพวกเรา แล้ว เราจะไม่หนีออกจากบ้านของเรา ถ้าตายเราก็จะขอตายที่นี่ ในเชสเนีย ในวิถีแห่งการ ญิฮาด

และท่านได้เคยกล่าวไว้ในปี 2002 โดยท่านได้กล่าวว่า ""เราจะสร้างรัฐอิสลามกันที่นี่ ในเชสเนีย เราจะนำธรรมนูญของอิสลามมาปกครองดินแดนแห่งนี้""นี่คือถ้อยแถลงที่ทรงพลังของท่าน

มีนาคม 2005 อัสลาน มัสคาดอฟ ถูกลอบสังหารโดย กองกำลังพิเศส ของรัสเซีย ซึ่ีงการจากไปของท่าน ท่านได้มอบหมายภาระ การเป็นมูญาฮิดีน และการ ญิฮาด ให้กับ ท่าน โดคู อูมารอฟ ได้ดูแลรักษา การ ญิฮาดให้ดำรงค์ต่อไป ในดินแดนนี้ จนกว่า เชสเนีย จะกลับมาไช้ระบบอิสลาม นี่คือ คำสั่งเสียก่อนการเสียชีวิตของท่าน ....ขอพระองค์อัลลอฮโปรดทรงประธานแสงสว่างให้กูโบร์ของ ท่าน อัสลาน มัสคาดอฟ ด้วยเถิด..อามีน
 
Arlee khan Jundullah(แปลและเรียบเรียง)

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เชค อาบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ อามีรคนล่าสุดของอิมาเราะห์ คอเคซัส

 
 
 
 
 
 



ซาย์ฮิดเชค อาบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์
ชื่อจริง; Mahomed Suleimanov Alievich
อามีรสูงสุดของอิมาเราะห์ คอเคซัส

ก่อนที่ท่านมาเป็นอามีรสูงสุดของอิมาเราะห์ อิสลามมิน คอเคซัส เชคอาบู อุสมาน เป็น qadhi (ผู้พิพากษาชารีอะห์) คอเคซัส และในขณะเดียวกันท่านก็ยังทำหน้าที่เป็นอามีร ในพื้นที่เทือกเขาของ ดาเกสถาน
เชค อบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ เกิดเมื่อปี 1976 ขณะนี้วัย 39 ปี ในเมือง Gimry ดาเกสถาน หลังจากที่เสร็จสิ้นการมอบทุนการศึกษา จากนโยบายการศึกษาอิสลามในดาเกสถาน
ปี 1992 ท่านได้ย้ายไปยังประเทศซีเรีย เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฟาตาห์ อัล-อิสลาม หลังจากจบการศึกษาในซีเรีย ทางด้านวิทยาศาสตร์เเละกฏหมายชารีอะห์อิสลาม เชค อุสมาน ก็ตัดสินใจที่จะกลับบ้านเกิด เพื่อเผ่ยเเพร่ความรู้ให้กับในสิ่งท่านศึกษามา
ความสามารถในเชิงความรู้ เชค อบูอุสมาน ประสบความสำเร็จเเละได้เป็นที่ยอมรับของคน Gimry ในวัยหนุ่ม ต่อมาท่านปราบดาภิเษกขึ้นเป็น qadhi ของมัสยิดกลาง ในเมือง Gimry ภายในหนึ่งปีชื่อของท่าน เชค อบูอุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ เป็นที่รู้จักกันทั่วดาเกสถาน ในฐานะเป็นนักกฎหมายที่เคร่งศาสนา ผู้คนจากทั่วทุกมุมดาเกสถานแห่กันไปให้ท่าน แก้ปัญหาด้วยกฎหมายผ่านศาลที่นำโดยท่านเสมอ
เมื่อปี 2006 เชค อบูอุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ ได้เข้ารวมกับอิมาเราะห์ คอเคซัส อย่างเป็นทางการ เเละท่านได้รับมอบหมายเป็น qadhi ศาลชารีอะห์อิสลามในเขตพื้นที่ ดาเกสถาน
จากนั้นในปี 2007 อามีรสูงสุดของอิมาเราะห์ คอเคซัสช่วงเวลานั้น ได้เเต่งตั้งท่านเป็นอามีรมุจาฮีดีน คอเคซัส ในเขตเทือกเขา ดาเกสถาน
ในปี 2008 เนื่องจากความกดดันของประชาชน ดาเกสถาน และญาติพี่น้องของท่าน ท่านจึงลงจากเทือกเขาและกลับไปยังบ้านของพวกเขา เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่หัวใจของท่านยังรักในการจีฮาด และปฏิเสธที่จะยอมอ่อนข้อให้เงื่อนไข dhalim เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม คอเคซัส
เเละเมื่อปี 2009 เชค อบูอุสมานได้กลับต่อสู้ เคียงข้างพี่น้องคอเคซัสด้วยอาวุธอีกครั้ง
เชค อบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ ได้รับความมั่นใจต่อประชาชนในการเป็น qadhi สำหรับพี่น้องมุสสิมของอิมาเราะห์ คอเคซัส เเละเป็นที่รู้จักกันอย่างดี เชค อบูอุสมาน เน้นความยุติธรรมโดยใช้มาตรฐานทางกฎหมายชารีอะห์อิสลาม รวมทั้งยังมีประเด็นที่สำคัญ เช่น กรณีของการกรรโชกโดยกลุ่มที่ไม่หวังดีที่ไร้ยางอาย ตัวอย่างที่น่าจดจำมากที่สุด คือคำตัดสินของ เชค อบูอุมาน ให้ในกรณีของการกรรโชกโดย Ibragim Gajidadaev สำหรับผู้ประกอบการในท้องถิ่น
ศาลของรัฐบาลกลางรัสเซีย ได้พยายามที่จะทำให้เสียชื่อเสียงและทำลายความน่าเชื่อถือของ เชค อบูอุสมาน ในหลาย ๆ ครั้ง หนึ่งในนั้นคือข้อกล่าวหาท่านว่า เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม masterminding ผู้นำที่มีชื่อเสียงมากของ "ชาวซูฟีย์" ในดาเกสถาน เขาถูกฆ่าเสียชีวิตใน เดือนสิงหาคม 2012 ด้วยระเบิดพลิชีพที่ดำเนินการโดย Aminat Kurbanova ทางรัฐบาลรัสเซียช่วยโอกาสโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อหวังที่จะจุดประกายความโกรธเเค้นระหว่างผู้ติดตาม "ชาวซูฟีย์" ต่อเชค อบู อุสมาน โฆษณาชวนเชื่อนี้ประสบความสำเร็จ ในหมู่ของประชาชนในอำเภอ Gimry

เชค อาบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ เป็นที่น่าสังเกตว่าท่านไม่ได้เป็นที่ยอมรับเพียงเเค่ในหมู่มุสสิม กองกำลังความมั่นคงเเห่งชาติ และกองทัพทหารรัสเซีย ได้สร้างแรงกดดันซ้ำให้กับประชากร Gimry ในปีที่ผ่านมาเพื่อให้พวกเขาส่งมอบ เชค อบูอุสมาน และลูกน้องของท่านต่อเจ้าหน้าที่รัสเซีย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงกดดันต่างๆ พวกเขารู้สึกว่าประชาชน Gimry ยังคงลังเลที่จะเปลี่ยนมอบ เชค อบู อุสมาน กลับกันพวกเขายังคงช่วยในการซ่อนตัวของท่าน

หลังจากการดำเนินการทางทหารรัสเซีย ที่นำไปใช้อย่างต่อเนื่องใน Gimry ประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านของพวกเขา หลังถูกบังคับให้หนีไปยังชนบท ในปฏิบัติการที่เรียกว่า "Vremenny" ซึ่งปฏิบัติการทางทหารรัสเซียครั้งใหญ่ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2014 และเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้งหมดของทหารตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (เอฟเอ) ทหารรัสเซียและทหาร "มุรตัดดีน"
ผู้บัญชาการของปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่นี้ ได้รับอนุญาตจงใจขโมยทรัพย์สิน อย่างเห็นได้ชัดที่จะลงโทษชาวบ้านที่ได้รับการสนับสนุนจาก mujahiidin ชาวบ้านต้องสูญเสียดินแดนของเขาทั้งหมด และมีสถาบันการศึกษาอิสระจำนวนมากที่พยายามจะฟ้อง ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน แต่ก็ยังคงไม่มีประโยชน์
เมือง Gimry ไม่ได้เป็นเพียงบ้านเกิด ของทั้งสองอิหม่ามที่มีชื่อเสียงของดาเกสถาน อิหม่าม Syamil และบรรพบุรุษของเขา Gazi-Mulla Gimry เเต่ยังเป็นหัวใจของหุบเขา Avaria เพื่อให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนรอบชุมชนวาร์ในดาเกสถาน ชนเผ่าวาร์ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในดาเกสถาน เหตุผลหลักสำหรับความล้มเหลวของนโยบาย มอสโก รัสเซีย ในภูมิภาคนี้คือการขาดของการดำเนินงานทางด้านจิตใจที่จะกำหนดเป้าหมาย!
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ปี 2015 เว็บไซต์ของอิมาเราะห์ อิสลามมิน คอเคซัส ได้ปล่อยข่าวอย่างเป็นทางการว่าได้เเต่งตั้ง เชค อบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ ขึ้นเป็นอามีรสูงสุดของอิมาเราะห์ คอเคซัส ต่อจาก (ซาย์ฮิดเชค อาบู มูฮำหมัด อัล-ดาคิสตานีย์) หลังจากที่ได้รับ"ซาย์ฮิด" จากการสู้รบกับกองทัพรัสเซียใน ดาเกสถาน เมื่อวันที่ 19-20 เมษายน ที่ผ่านมา

เเละเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ปี 2015 ทางอิมาเราะห์ คอเคซัส ได้มีการยืนยันว่า ท่านเชค อาบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ ได้รับซาย์ฮิด(เสียชีวิต)จากการที่ถูกปิดล้อม ของกองทัพรัสเซียในจังหวัด ดาเคสถาน

->>>>>
ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงโปรดประทาน เเสงสว่างเเด่กูโบร์ของท่าน เชค อบู อุสมาน อัล-คิมรินส์กีย์ เเละทรงตอบรับท่าน อยู่ในหมู่ของชาวซาย์ฮิดด้วยเถิด .. อามีน
เเปล-เรียบเรียงโดย; Mizee Mizu